รู้ข่าวกันบ้างแล้วล่ะ ว่า Facebook กำลังจะลบและเปลี่ยนแปลง KPI บางตัวในเดือนเมษายน 2019 นี้ และก็มีหลายสำนักมาพูดถึงเรื่องนี้ แต่เอาจริงๆ นะ ใครรู้สึกว่ายังงงอยู่บ้าง วันนี้มาอ่านกันอย่างละเอียดกัน ดูสิว่ามันจะมีผลกระทบต่อเราอย่างไรบ้าง.
![นินจาการตลาด](https://www.ninjakantalad.com/wp-content/uploads/2019/02/line-0-Small-50x37.5.png)
มีทั้งแบบที่ลบไปเลย และมีทั้งแบบที่แค่เปลี่ยนแปลง.
.
ผมจะอธิบายเป็นข้อๆ เป็นเรื่องๆ ไปนะครับ เพื่อให้พวกเราได้ตามทัน และจะบอกไว้ด้วยว่า อันไหนถึงขั้นถูกลบออกไป และอันไหนแค่ถูกเปลี่ยนเท่านั้น
.
KPI ของ Facebook มีอยู่เยอะมากๆ ครับ น่าจะเกิน 100 ตัวนะครับ ผมเองก็ไม่เคยนับ ซึ่งเราคุ้นเคยกันนั้น มีอยู่ไม่กี่ตัว เช่น Reach, Impression, Cost per View, Cost per Engagement ฯลฯ
.
สำหรับคนที่ไม่รู้ว่า KPI ตัวอื่นๆ อีกมากมายนั้นอยู่ตรงไหน ดูยังไง เริ่มต้นก็ให้เข้าไปที่ Ads Manager (ตัวจัดการโฆษณา) แล้วไปเพิ่ม KPI โดยเลือกได้เองเลยว่าอยากให้ KPI ไหนมาแสดงผล ดูวิธีการตามภาพด้านล่างได้เลย
![Facebook Ads KPI ที่กำลังจะลบทิ้งและเปลี่ยนแปลงในเดือนเมษายน 2019](https://www.ninjakantalad.com/wp-content/uploads/2019/04/FB-Ads-KPI-update-April-19_2-1.jpg)
การเพิ่มการแสดง KPI ที่ซ่อนไว้กว่า 100 ตัว
เมื่อพอรู้แล้วว่า KPI ตัวอื่นๆ ที่เราไม่เคยนำมาวิเคราะห์มันซ่อนอยู่ตรงไหน ทีนี้ก็มาเริ่มต้น KPI ที่ Facebook กำลังลบออกและเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้น มีตัวไหนกันบ้าง
![นินจาการตลาด](https://www.ninjakantalad.com/wp-content/uploads/2019/02/line-0-Small-50x37.5.png)
1. Offered Saved และ Cost per Offer Saved.
.
เชื่อว่าหลายคนไม่ค่อยคุ้นเคยแน่ๆ เลย กับสองคำนี้ ซึ่งในภาษาไทยเรียกว่า “ข้อเสนอที่บันทึกไว้” และ “ต้นทุนต่อข้อเสนอที่บันทึกไว้” ตามลำดับ
.
ซึ่งอันนี้ถูกลบเลยจ้า…
.
โดยทาง Facebook ได้เขียนอธิบายระบุไว้ว่า
.
เรากำลังลบเกณฑ์ชี้วัด “ข้อเสนอที่บันทึกไว้” และ “ต้นทุนต่อข้อเสนอที่บันทึกไว้” ออก และกำลังเปิดตัว “การบันทึกโพสต์” ที่จะทำหน้าที่เป็นเกณฑ์ชี้วัดในการวัดผลจำนวนครั้งที่โฆษณาถูกบันทึกไว้เราได้เรียนรู้ว่านักการตลาดต้องการดูข้อมูลได้อย่างละเอียดมากขึ้นเมื่อมีการบันทึกโฆษณาของตนนอกเหนือจาก “โฆษณาข้อเสนอ”
.
เกณฑ์ชี้วัด “การบันทึกโพสต์” ใหม่นี้จะวัดผลจำนวนครั้งที่โฆษณาของคุณถูกบันทึก รวมถึงโฆษณาข้อเสนอทั้งหมดด้วยเกณฑ์ชี้วัด “การบันทึกโพสต์” จะทยอยเปิดตัวตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2019 และจะนับจำนวนการบันทึกโพสต์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2019 เป็นต้นไป
.
สรปุแล้วสิ่งที่มาแทน Offered Saved และ Cost per Offer Saved ก็คือ Post Saved (การบันทึกโพสต์)
.
อธิบายเพิ่มนิดนึงนะครับสำหรับคนที่ยังนึกไม่ออกว่ามันคืออะไร การบันทึกโพสต์มักจะเกิดขึ้นหากผู้ที่เห็นโพสต์มีความสนใจเนื้อหาของโพสต์นั้นๆ และมีความรู้สึกว่าควรเก็บเอาไว้ สำหรับเป็นข้อมูล หรือแม้แต่การนำมาเปิดอ่านในภายหลัง ซึ่งทาง Facebook มองว่า นี่จะเป็นตัววัดค่าที่ทำให้เห็นถึงความมีคุณภาพของโพสต์นั้นๆ ที่ดีแบบหนึ่ง
.
วิธีการใช้ Post Saved
.
จะถูกนับตอนที่ผู้ใช้ทำการกดบันทึกโพสต์นั้นๆ เพื่อที่จะเก็บไว้อ่านภายหลังโดยจะวัดเปรียบเทียบกับโฆษณาหรือแคปเปญอื่นๆ
![Facebook Ads KPI ที่กำลังจะลบทิ้งและเปลี่ยนแปลงในเดือนเมษายน 2019](https://www.ninjakantalad.com/wp-content/uploads/2019/04/FB-Ads-KPI-update-April-19_4.jpg)
Post Saved เมื่อผู้คนสนใจในเนื้อหานั้นๆ จึงอยากบันทึกเก็บไว้อ่านภายหลัง
![นินจาการตลาด](https://www.ninjakantalad.com/wp-content/uploads/2019/02/line-0-Small-50x37.5.png)
2. Relevance Score.
.
ในภาษาไทยเรียกว่า “คะแนนความเกี่ยวข้อง” คำๆ นี้ใน Google ก็มีนะ ความหมายประมาณว่า โฆษณานี้ถ้าจะดี ต้องดีตลอดทั้งเส้นทางด้วย ตั้งแต่ เนื้อหาหรือคำโฆษณาที่พบ ต้องดึงดูด และเมื่อเข้าไปในเนื้อหน้านั้นๆ ต้องมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับคำโฆษณาที่แสดงผลในจังหวะแรกก่อนคลิกเข้าไปดูด้วย
.
ถ้าเทียบกับ Google ก็ลองนึกดูถึงว่า เมื่อเราค้นหาอะไรบางอย่างด้วย Keyword แล้วพบว่ามีเว็บไซต์แสดงผลออกมา เมื่อดูแล้วมันน่าจะเกี่ยวข้องกับ Keyword ที่เราหา คาดไว้ในใจว่ากดเข้าไปแล้วมันต้องได้ประโยชน์ตรงตามที่เราคาดหวัง
.
ถ้ากดเข้าไปแล้ว ปรากฏว่า เนื้อหาไม่ค่อยตรงกันกับ Keyword หรือ คำโฆษณา อันนี้คนจะออกจากหน้านั้นเร็วเลย ซึ่งนั่นจะทำให้ Relevance Score มีตัวเลขต่ำด้วย
.
เมื่อมาเทียบกับ Facebook ก็เช่นกันครับ มองแบบเดียวกันเลย เพียงแต่ ตัดขั้นตอนการพิมพ์ค้นหา Keyword ไปเท่านั้นเอง เพราะ Facebook เป็น Push Marketing เป็นการแสดงผลแบบ Interup ผู้ใช้นั่นเอง ซึ่งก็คือจะนำเอาโฆษณาไปเสริฟกับผู้ใช้ หากโฆษณานั้นโดนใจ แล้วทำให้ผู้ใช้สนใจจนเข้าไปดูเนื้อหา จะต้องทำให้ผู้ใช้รู้สึกได้ว่าเนื้อหาที่เข้าไปดูนั้นมันเกี่ยวข้องเกี่ยวเนื่องกับโฆษณาที่พบด้วย Relevance Score จึงจะมีค่าสูง
.
ขอบอกว่า Relevence Score ตัวนี้จะถูกเปลี่ยนจ้า…
.
ซึ่งทาง Facebook ระบุไว้ว่า
.
เรากำลังจะเปลี่ยนเกณฑ์ชี้วัด “คะแนนความเกี่ยวข้อง” เป็นชุดการวิเคราะห์ความเกี่ยวข้องของโฆษณาแบบใหม่ที่ชัดเจนขึ้นและนำไปใช้ได้จริงมากขึ้น
.
“การจัดอันดับคุณภาพ”
“การจัดอันดับอัตราการมีส่วนร่วม”
“การจัดอันดับอัตราคอนเวอร์ชั่น”
.
สามารถช่วยให้คุณวิเคราะห์ได้ดีขึ้นว่าโฆษณาที่คุณแสดงเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายที่เข้าถึงหรือไม่ เกณฑ์ชี้วัดเหล่านี้จะให้ผลที่ดีที่สุดเมื่อใช้ร่วมกัน และเรายังมีคำแนะนำเพิ่มเติมเพื่อช่วยให้คุณตีความและดำเนินการตามผลลัพธ์ต่างๆ ได้
.
การวิเคราะห์ความเกี่ยวข้องของโฆษณาจะทยอยเปิดตัว และจะแสดงประสิทธิภาพการทำงานของโฆษณาของคุณในการประมูลโฆษณาที่เริ่มใช้งานในหรือหลังเดือนมีนาคม 2019
.
สรุปเบื้องต้นคือ… เพิ่ม KPI มาใหม่ถึง 3 ตัว
.
โดย Facebook มองว่า การดูแต่ Relevance Score อย่างเดียวอาจจะไม่พอแล้ว เลยได้เพิ่มชุดการวิเคราะห์ มาถึง 3 ตัว เพื่อให้การวิเคราะห์เป็นไปอย่างถูกต้องมากขึ้น เพราะบางครั้งการที่ได้ KPI ออกมาดี แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้การสื่อสารได้ผลตามเป้าหมายจริงๆ ของธุรกิจได้
.
3 ตัวที่ว่านั้น มีดังนี้
.
Quality Ranking (การจัดอันดับคุณภาพ): คุณภาพของโฆษณาที่กลุ่มเป้าหมายประเมินเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับโฆษณาที่มีกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน
Engagement Rate Ranking (การจัดอันดับอัตราการมีส่วนร่วม): อัตราการมีส่วนร่วมที่คาดหวังของโฆษณาเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับโฆษณาที่มีกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน
Conversion Rate Raiking (การจัดอันดับอัตราคอนเวอร์ชั่น): อัตราคอนเวอร์ชั่นที่คาดหวังของโฆษณาเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับโฆษณาที่มีเป้าหมายการปรับให้เหมาะสมเหมือนกันและมีกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน
.
นอกจากนี้ Facebook ยังอธิบายไว้อย่างละเอียดอีกว่า
.
การวิเคราะห์ความเกี่ยวข้องของโฆษณาช่วยให้คุณสามารถวิเคราะห์โฆษณาที่ประสิทธิภาพต่ำด้วยมิติที่เกี่ยวข้อง 3 มิติ ประกอบด้วย คุณภาพ, การมีส่วนร่วม และคอนเวอร์ชั่น
.
การตรวจสอบการวิเคราะห์ทั้ง 3 มิติร่วมกันจะให้ข้อมูลเชิงลึกได้มากกว่าการตรวจสอบการวิเคราะห์แยกกัน
.
การจัดอันดับอัตราการมีส่วนร่วมเป็นการอธิบายให้คุณทราบว่าอัตราการมีส่วนร่วมที่คาดหวังของโฆษณาของคุณเปรียบเทียบกับโฆษณาทีมีกลุ่มเป้าหมายเดียวกันเป็นอย่างไร
.
อัตราการมีส่วนร่วมที่คาดหวังจะคำนวณความเป็นไปได้ที่ผู้คนจะคลิก แสดงความรู้สึก, ความคิดเห็น, แชร์ หรือขยายโฆษณาการล่อให้มีส่วนร่วม (ตัวอย่างเช่น การขอให้กดถูกใจ, ความคิดเห็น และอื่นๆ) จะไม่พัฒนาประสิทธิภาพการทำงานของโฆษณาของคุณ
.
ค่าที่เป็นไปได้สำหรับการจัดอันดับอัตราการมีส่วนร่วม (โดยเฉลี่ยจะแสดงเปอร์เซ็นต์ไทล์ที่ 35 ถึง 55) คือ:
เกินค่าเฉลี่ย
ปานกลาง
ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย (ต่ำสุด 35% ของโฆษณา)
ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย (ต่ำสุด 20% ของโฆษณา)
ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย (ต่ำสุด 10% ของโฆษณา)
การจัดอันดับอัตราการมีส่วนร่วมไม่สามารถใช้งานได้สำหรับเป้าหมายการปรับให้เหมาะสม ดังต่อไปนี้ การเพิ่มการจดจำโฆษณา, อิมเพรสชั่น, การเข้าถึง หรือคอนเวอร์ชั่นแบบกำหนดเอง
.
ตัวอย่างเช่น การจัดอันดับอัตราการมีส่วนร่วมที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย (ต่ำสุด 20% ของโฆษณา) หมายความว่าโฆษณาของคุณมีอัตราการมีส่วนร่วมที่คาดหวังอยู่ในช่วง 20% ต่ำสุดของโฆษณาที่มีเป้าหมายการปรับให้เหมาะสมเดียวกันสำหรับกลุ่มเป้าหมายเดียวกันโฆษณาอย่างน้อย 80% ที่มีกลุ่มเป้าหมายเดียวกันได้รับการประเมินว่ามีคุณภาพสูงกว่า
.
สรุปคือ Facebook วาง KPI ให้อย่างละเอียดมากขึ้น แทนที่จะดูแค่ Relevent Score อย่างเดียว แล้วตัดสินใจว่า Ads นี้ดี แต่แนะนำให้ดูถึง 3 ตัวด้วยกันเพื่อเปรียบเทียบภาพใหญ่ให้ดีมากขึ้น
.
และการวัด KPI ไม่ได้วัดแบบเดิมๆ ที่ดูเฉพาะว่าตัวเองได้อัตราต่างๆ ดีแค่ไหน แต่ Facebook ทำการเทียบกับ Ads อื่นๆ ที่ยิงไปยังกลุ่มเป้าหมายเดียวกันกับที่เรายิงด้วย
.
ทำให้เราจะเริ่มรู้เลยว่า Ads ที่เราเคยวัดผลว่าดีหรือไม่ดีนั้น เมื่อเทียบกับชาวบ้านที่เค้ายิงกลุ่มเป้าหมายเดียวกับเรา มันต่างกันอย่างไร
![Facebook Ads KPI ที่กำลังจะลบทิ้งและเปลี่ยนแปลงในเดือนเมษายน 2019](https://www.ninjakantalad.com/wp-content/uploads/2019/04/FB-Ads-KPI-update-April-19_1.jpg)
การเลือก KPI ที่ต้องการให้มาแสดงบน Ads Manager (ตัวจัดการโฆษณา)
![นินจาการตลาด](https://www.ninjakantalad.com/wp-content/uploads/2019/02/line-0-Small-50x37.5.png)
3. Massaging Replies & Cost per Massaging Reply.
.
แปลเป็นไทยแบบยาวๆ ว่า “การตอบกลับในแอพรับส่งข้อความ” และ “ต้นทุนต่อการตอบกลับในแอพรับส่งข้อความ” ตามลำดับ
.
อันนี้ถูกลบเลยครับ
.
เผื่อใครไม่รู้ว่า KPI นี้มันมีไว้เพื่ออะไร มันคือการวัดตัวเลขของคนที่ตอบกลับมายัง Inbox เมื่อเห็นโฆษณา นั่นเอง
.
แต่ทีนี้ Facebook บอกว่ามันหยาบไป เลยไปเพิ่ม 2 ตัวนี้เข้ามาครับ คือ
.
ตัวแรกก็คือ
New Messaging Connections (คนที่เชื่อมต่อกันใหม่ในแอพรับส่งข้อความ) ถ้าแปลไปไทยอีกทีง่ายๆ ก็คือ คนที่กด Inbox มาหาเรา ซึ่งเป็นคนที่ไม่เคยทักมาคุยกันก่อนเลย คือทักมาเป็นครั้งแรกนั่นเอง
.
ส่วนคำอธิบายยาวๆ จากทาง Facebook ก็นี่เลยครับ
.
จำนวนของการสนทนาผ่านการรับส่งข้อความบน Facebook Messenger ที่เริ่มต้นกับบุคคลที่ไม่เคยส่งข้อความหาธุรกิจของคุณมาก่อน ระบุที่มาจากโฆษณาของคุณ
.
วิธีการคำนวณ
เกณฑ์ชี้วัดนี้รวมจำนวนครั้งที่การสนทนาในแอพรับส่งข้อความแบบสองทางเริ่มขึ้นใหม่ในแอพส่งข้อความ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อมีผู้คลิกโฆษณาของคุณในแอพรับส่งข้อความ (เช่น Facebook Messenger) หรือเมื่อมีผู้คลิกที่ปุ่มในโฆษณาของคุณบนแพลตฟอร์มอื่นของ Facebook (เช่น ในฟีดข่าวของ Facebook) เพื่อส่งข้อความถึงธุรกิจของคุณ เกณฑ์ชี้วัดนี้จะรวมเฉพาะคอนเวอร์ชั่นใหม่ที่เริ่มต้นภายในช่วงการระบุที่มาและไม่รวมการสนทนากับผู้ที่ส่งข้อความหาธุรกิจของคุณในอดีต
.
มาต่อกันตัวที่ 2 ก็คือ
Massaging Connections Started (การเริ่มสนทนาในแอพรับส่งข้อความ) หมายถึง คนที่เคยทัก Inbox เรามาแล้ว แต่มาทักอีกจากโฆษณาตัวนี้นั่นเอง
.
ซึ่งพอแยกออกมาเป็น 2 KPI ก็จะทำให้เราสามารถวิเคราะห์ผลได้ละเอียดยิ่งขึ้นว่า ผลที่ได้นั้นมาจากใครบ้าง
.
ทีนี้มาลองดูว่า Facebook เค้าอธิบายไว้ยาวๆ ว่าอย่างไร
.
จำนวนครั้งที่ผู้คนเริ่มส่งข้อความถึงธุรกิจของคุณหลังไม่มีการใช้งานอย่างน้อย 7 วันซึ่งมาจากโฆษณาของคุณ
.
เกณฑ์ชี้วัดนี้คืออยู่ระหว่างการพัฒนา
.
วิธีการคำนวณ
เกณฑ์ชี้วัดนี้รวมจำนวนครั้งที่การสนทนาแบบสองทางเริ่มขึ้นในแอพรับส่งข้อความ (เช่น Facebook Messenger) ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อมีผู้คลิกโฆษณาของคุณในแอพรับส่งข้อความ หรือเมื่อมีผู้คลิกที่ปุ่มในโฆษณาของคุณบนแพลตฟอร์มอื่นของ Facebook (เช่น ในฟีดข่าวบน Facebook) เพื่อส่งข้อความถึงธุรกิจของคุณ โดยจะรวมถึงการสนทนาใหม่กับผู้คนที่ไม่เคยส่งข้อความถึงธุรกิจของคุณมาก่อน ตลอดจนการสนทนาอีกครั้งกับผู้คนที่ยังไม่ได้ส่งข้อความถึงธุรกิจของคุณภายในช่วง 7 วันที่ผ่านมา
.
เกณฑ์ชี้วัดนี้ไม่นับการสนทนาที่เกิดขึ้นใน WhatsApp ถึงแม้คุณจะแสดงโฆษณาที่คลิกไปยัง WhatsApp ก็ตาม อย่างไรก็ตาม หากมีผู้ติดต่อธุรกิจของคุณใน Facebook Messenger หลังจากเห็นโฆษณาของคุณที่คลิกไปยัง WhatsApp การดำเนินการดังกล่าวจะนับเป็นการสนทนาในแอพรับส่งข้อความที่เริ่มขึ้นแล้วและถือว่าเป็นผลมาจากโฆษณาของคุณ
.
สรุปก็คือ Facebook ปรับให้เรามองเห็นกลุ่มลูกค้าที่ทักเข้ามาแบบลึกมากขึ้น เพื่อทำให้เราสามารถวิเคราะห์ในมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อนได้ กับลูกค้าใหม่ที่ทักมาหรือลูกค้าเก่าที่ทักเข้ามา
![Facebook Ads KPI ที่กำลังจะลบทิ้งและเปลี่ยนแปลงในเดือนเมษายน 2019](https://www.ninjakantalad.com/wp-content/uploads/2019/04/FB-Ads-KPI-update-April-19_3.jpg)
ผู้คนที่เชื่อต่อข้อความรายใหม่ กับ การตอบกลับผ่านการส่งข้อความ
![นินจาการตลาด](https://www.ninjakantalad.com/wp-content/uploads/2019/02/line-0-Small-50x37.5.png)
4. Mobile App Purchase ROAS และ Web Purchase ROAS
.
ก่อนอื่น.. ขอแปลเป็นไทยก่อน คือ
.
“ROAS ของการซื้อในแอพบนมือถือ” และ “ ROAS ของการซื้อบนเว็บ”
.
อ่านแล้วก็ยังงงๆ ใช่ไหมครับ 555 ผมว่าอันแรกที่หลายคนจะงงอยู่ก็น่าจะเป็นคำว่า ROAS นี่แหล่ะ งั้นขออธิบายคำนี้ก่อนแล้วกันนะครับ
.
ROAS มีความคล้ายคลึงกับ ROI (Return On Investment) อยู่ครับ ซึ่ง ROAS ย่อมาจาก Return On Ads Spend หรือแปลเป็นไทยว่า “ผลตอบแทนจากค่าโฆษณา” นั่นเอง
.
พอเข้าใจมากขึ้นแล้วนะครับ ทีนี้จะได้อ่านที่ Facebook เค้าอธิบายได้พอรู้เรื่องขึ้นบ้าง ถ้าพร้อมแล้วลองอ่านที่ Facebook เค้าอธิบายก่อนแล้วกัน ตามนี้
.
ตอนนี้เกณฑ์ชี้วัด ROAS ของเราจะถูกรวบรวมจากช่องทางต่างๆ เกณฑ์ชี้วัด ROAS ช่วยให้คุณเข้าใจผลตอบแทนจากค่าใช้จ่ายในการโฆษณาของโฆษณาของคุณได้ก่อนหน้านี้ เกณฑ์ชี้วัด ROAS ของเราเป็นเกณฑ์ชี้วัดแบบเฉพาะช่องทาง (เช่น มือถือ เว็บ บน Facebook) เนื่องจากเส้นทางการซื้อของลูกค้าเป็นแบบหลากหลายช่องทางมากขึ้น เราจึงจำเป็นต้องดูที่ ROAS จากช่องทางต่างๆ และรวบรวมเกณฑ์ชี้วัด ROAS เฉพาะช่องทางให้เป็นเกณฑ์ชี้วัด “ROAS การซื้อ” ที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียว
.
ถ้าแปลเป็นไทยอีกรอบง่ายๆ เลยก็คือ
.
Purchase ROAS (ROAS การซื้อ)
.
ศัพท์ใหม่ หรือ KPI ใหม่ที่นำมาแทนครับ เพื่อวัดผลของความคุ้มค่าของโฆษณาที่เทียบกับการซื้อเลย เขียนเป็นภาษาไทยว่า “ผลตอบแทนจากเงินใช้จ่ายค่าโฆษณา”
.
ซึ่งจะวัด KPI จากการที่ลูกค้าได้ทำการซื้อสินค้าเลยครับ เป็นสิ่งสุดท้ายที่ธุรกิจที่ทำการสื่อสารการตลาดออนไลน์อยากได้ที่สุด พูดง่ายๆ ก็คือ การนับจำนวนการซื้อเลยครับโดยเทียบกับเงินโฆษณาที่จ่ายไปนั่นเอง
.
ทีนี้ลองมาอ่านต่อกับสิ่งที่ Facebook ได้อธิบายไว้หน่อยครับ
.
ผลตอบแทนจากค่าใช้จ่ายโฆษณา (ROAS) สุทธิจากการซื้อ โดยอิงตามข้อมูลที่ได้รับจากเครื่องมือของ Facebook Business ของคุณที่เชื่อมต่อกันตั้งแต่หนึ่งรายการขึ้นไป และมีที่มาจากโฆษณาของคุณ
วิธีการคำนวณ
เกณฑ์ชี้วัดจะคำนวณเป็นค่าคอนเวอร์ชั่นการซื้อหารด้วยจำนวนที่จ่าย
.
อันนี้บอกตามตรงว่าผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าสุดท้ายแล้วมันจะหมายความว่าจะมี KPI ที่เรียกว่า Purchase ROAS แบ่งไปตามช่องทางต่างๆ ที่เกิดการซื้อ เช่น มือถือ เว็บ บนเฟซบุ๊ก อย่างนั้นหรือเปล่า ใครรู้ก็ช่วยมาแชร์กันหน่อย ที่ LINE@ ของนินจาการตลาดได้นะครับ ลิงค์อยู่ข้างล่างๆ เลื่อนลงไปนิดนึงก็เจอ…
![นินจาการตลาด](https://www.ninjakantalad.com/wp-content/uploads/2019/02/line-0-Small-50x37.5.png)
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่เสมอ SME มีหน้าที่ต้องเตรียมตัวให้พร้อม.
.
ยังมีฟังกชั่นที่หลังบ้านของ Facebook Ads ให้เลือกใช้อีกเยอะมากที่ SME ยังไม่รู้จักหรือรู้จักแต่ยังใช้ไม่เป็นกัน เช่น ฟังก์ชั่น Lookalike Audience (กลุ่มเป้าหมายที่คล้ายกัน) ซึ่งเป็นการขยายฐานลูกค้าที่มีโอกาสสูงในการปิดการขายให้มีจำนวนขยายมากขึ้นจากฐานเดิมที่มีอยู่ไม่กี่คน ซึ่ง Facebook จะรวบรวบและจัดหาให้มากสุดถึง 5 ล้านคน
.
ซึ่งใครอยากยิงโฆษณาห้ได้ผลลัพท์ที่ดี ประหยัด คุ้มค่าก็ต้องเรียนรู้กันให้มากๆ นะครับ
.
ใครที่สนใจและอยากทำเป็นทั้งระบบ แนะนำไปเรียนรู้เพิ่มเติมได้จากคอร์สนี้ครับ คลิกเข้าไปอ่านรายละเอียดได้เลย
![นินจาการตลาด](https://www.ninjakantalad.com/wp-content/uploads/2019/02/line-0-Small-50x37.5.png)