เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ กระแส iOS 13 ค่อนข้างมาแรงมาก ๆ ซึ่งก็มีทั้งเสียงที่ชื่นชอบกับ software ตัวใหม่นี้ว่ามันดีงามเหลือเกิน และเสียงบ่นที่รู้สึกว่าก็ไม่ได้ว้าวอะไรขนาดนั้น แถมยังมีบั๊กอยู่พอสมควร ทำให้เมื่ออัปเดตไปแล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกว่าใช้งานได้ราบรื่นขึ้นกว่าเดิม อาจจะยุ่งยากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
สำหรับบทความนี้ขอไม่พูดถึงดีเทลหรือฟีเจอร์อะไรมากมายของ iOS 13 นะครับ เพราะหลาย ๆ คนน่าจะรู้ข้อมูลจากที่อื่นมาพอสมควรแล้ว และหลาย ๆ คนก็น่าจะอัปเดตระบบของเหล่าอุปกรณ์ Apple ของตัวเองเป็น iOS 13 เรียบร้อยแล้ว
.
ซึ่งแน่นอนว่าภาพรวมของระบบปฏิบัติการ iOS 13 มันค่อนข้างดีเลยล่ะ ดูเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งานมาก ๆ แต่ในมุมของสื่อออนไลน์แอบมีผลกระทบจากการมาของ iOS 13 อยู่ไม่น้อยเลย มาดูกันว่าใครได้รับผลกระทบอะไรยังไงบ้าง… (กดเพื่ออ่านต่อ)
อ่านต่อ

ต้องบอกก่อนว่าตัวระบบปฏิบัติการ iOS 13 นี้ ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน iOS และ iPadOS มากขึ้น ที่เห็นได้ชัดคือมีการพัฒนาระบบความปลอดภัยใหม่ สำหรับการเก็บข้อมูลผู้ใช้งาน

หากใครที่อัปเดตเป็น iOS 13 แล้ว หลังจากอัปเดตสด ๆ ร้อน ๆ ลองเข้าแอป ฯ Facebook ดูสิ มันจะมีแจ้งเตือนขึ้นมาว่า “ขอใช้งาน Bluetooth” ซึ่งถ้าเราไม่ได้คิดอะไรมากมายก็คงจะกดยอมรับไป แต่ลองคิดดูดี ๆ สิว่า เราต้องใช้ Bluetooth ทำอะไรสำหรับการใช้งาน Facebook ?


สาเหตุที่ Facebook เรียกขอใช้งาน Bluetooth นั้น อันนี้เราก็ไม่อาจทราบได้จริง ๆ ว่าทำไม ถ้าคิดในแง่ดีก็คงเอาไว้ซิงก์ข้อมูลระหว่างผลิตภัณฑ์ในเครือ Apple แหละมั้ง หรืออาจจะเอาไว้เก็บข้อมูลอะไรหรือเปล่า แต่อันนี้ไม่ฟันธงนะบอกไว้ก่อน นอกจาก Facebook แล้วก็ยังมีแอป ฯ อื่น ๆ ที่ขอใช้งาน Bluetooth เช่นกัน ซึ่งผู้ใช้งานสินค้าตระกูล Apple หลายคนก็อาจจะรู้สึกว่า กดเปิด Bluetooth ไปให้มันจบ ๆ จะได้เชื่อมต่อการใช้งานของหูฟังและลำโพงแบบ Bluetooth ได้ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่จริงเลยนะ พวกอุปกรณ์เหล่านี้มันเชื่อมต่อกับตัวเครื่อง ไม่ใช่กับแอป ฯ ดังนั้นถ้ามันไม่ได้จำเป็นหรือสำคัญจริง ๆ ไม่ต้องให้แอป ฯ ต่าง ๆ เข้าถึง Bluetooth ก็ได้

นอกจากนี้ Apple ยังได้พัฒนาและปรับปรุงในส่วนของ Location Settings ที่ดูแล้วน่าจะส่งผลกระทบต่อ Facebook และ Google เต็ม ๆ เพราะใน iOS 13 จะมีรีพอร์ตคอยบันทึกและรายงานว่า เราให้แอปพลิเคชันอะไรเข้าถึงโลเคชันของเราบ้าง และเก็บข้อมูลที่ระบุตำแหน่งของเราไปมากแค่ไหนแล้ว มาพร้อม Maps เลยทีเดียวล่ะ ซึ่งถ้าเราไม่โอเคกับแอป ฯ ไหนก็จะได้ไปปิดการเข้าถึงได้ และหลังจากนี้ก็จะมีแจ้งเตือนคอยมาบอกแบบนี้ตลอด ซึ่งทำให้เราสามารถจำกัดการเข้าถึงโลเคชันของเราได้


ซึ่งการที่ Apple ปล่อยหมัดนี้ออกมา ก็อาจจะทำให้ตัวพ่อแห่งวงการ Big Data อย่าง Facebook และ Google มีเคืองได้ เพราะเราก็พอจะทราบกันอยู่แล้วว่า ทั้งสองแพลตฟอร์มมีการเก็บข้อมูลผู้ใช้งานอยู่เรื่อย ๆ การที่ Apple คอยแจ้งเตือนถึงการเก็บข้อมูลผู้ใช้งาน ส่งผลให้ผู้ใช้งานมีความระมัดระวังต่อความเป็นส่วนตัวของข้อมูลตัวเองมากขึ้น และสามารถจำกัดการเข้าถึงข้อมูลผ่าน Apple ได้นั่นเอง
.
ทำให้ Facebook และ Google อาจจะสูญเสียข้อมูลบางอย่างที่สำคัญไปบ้าง แต่ถึงแม้จะเพียงเล็กน้อย ก็อาจจะส่งผลกระทบใหญ่อยู่เหมือนกัน เพราะเดี๋ยวนี้ Data = Money ใครมีข้อมูลเยอะกว่าย่อมได้เปรียบ
.
ที่นี้ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่า Facebook กับ Google จะมีกลยุทธ์อะไรมาตอบโต้ Apple หรือเปล่า…

แต่ไม่ใช่แค่ Facebook และ Google เท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ LINE เองก็กระทบเช่นกัน เพราะล่าสุดเมื่อวันที่ 17 ก.ย. 62 ที่ผ่านมา ทาง LINE พูดเรื่องนี้สั้น ๆ ว่า iOS 13 ยังไม่รองรับการใช้งาน LINE OA แต่ทาง LINE ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจนะ ตอนนี้กำลังเร่งแก้ไขให้อยู่ อดใจรอกันอีกนิดนึงนะสำหรับใครที่ใช้งาน LINE OA และอัปเดตเป็น iOS 13 ไปแล้ว อย่าเพิ่งลบแอป ฯ ทิ้งกันไปก่อนล่ะ

สามารถติดตามเนื้อหาสุด Exclusive ของนินจาการตลาดที่ไม่ได้ลงที่ไหนและคอร์สเรียนฟรี ให้พิเศษเฉพาะใน Facebook กลุ่มปิด “Digital Media Planning 2020” คลิกไปขอเข้าร่วมได้เลย มีอัปเดตเนื้อหาอยู่ตลอด
